วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559

มารยาท ระเบียบ และข้อบังคับในการใช้อินเทอร์เน็ต

         มารยาท ระเบียบ และข้อบังคับในการใช้อินเทอร์เน็ต

  บัญญัติ 10 ประการ ของการใช้อินเทอร์เน็ต

       จากปัญหาการล่อลวงที่เกิดจากการเล่นอินเทอร์เน็ตที่นับวันยิ่งมีมากขึ้น ทำให้หน่วยงานที่รับผิดชอบได้พยายามหามาตรการป้องกันปัญหาและภัยจากการใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งเกิดจากคนที่ขาดจิตสำนึกที่ดีของสังคม ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะสร้างจิตสำนึกที่ดีต่อตนเองและสังคมเพื่อหลีกเลี่ยงและรับมือจากความเสี่ยงจากภัยออนไลน์ ทั้งนี้รองศาสตราจารย์ยืน ภู่วรวรรณ ได้กล่าวถึง บัญญัติ 10 ประการซึ่งเป็นจรรยาบรรณที่ผู้ใช้ควรยึดถือไว้เป็นแม่บทของการปฏิบัติ ดังนี้ 

  1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้าย หรือละเมิดผู้อื่น 
  2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น 
  3. ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น 
  4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร 
  5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ 
  6. ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมของผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์ 
  7. ต้องไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์ 
  8. ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน 
  9. ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมที่เกิดจากการกระทำของท่าน 
  10. ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบ กติกา และมีมารยาท 

        อินเทอร์เน็ตถือได้ว่าเป็นบริการสาธารณะและมีผู้ใช้จำนวนมาก เพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ผู้ที่เข้ามาใช้ควรมีกฏกติกาที่ปฏิบัติร่วมกัน เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการใช้งานที่ผิดวิธี ในทีนี้ขอแยกเป็น 2 ประเด็น คือ 1.มารยาทของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในฐานะบุคคลที่เข้าไปใช้บริการต่างๆ ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ

            ด้านการติดต่อสื่อสารกับเครือข่าย ประกอบด้วย 
  • ในการเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายควรใช้ชื่อบัญชี (Internet Account Name) และรหัสผ่าน (Password) ของตนเอง ไม่ควรนำของผู้อื่นมาใช้ รวมทั้งนำไปกรอกแบบฟอร์มต่างๆ 
  • ควรเก็บรักษารหัสผ่านของตนเองเป็นความลับ และทำการเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นระยะๆ รวมทั้งไม่ควรแอบดูหรือถอดรหัสผ่านของผู้อื่น 
  • ควรวางแผนการใช้งานล่วงหน้าก่อนการเชื่อมต่อกับเครือข่ายเพื่อเป็นการประหยัดเวลา 
  • เลือกถ่ายโอนเฉพาะข้อมูลและโปรแกรมต่างๆ เท่าที่จำเป็นต่อการใช้งานจริง 
  • ก่อนเข้าใช้บริการต่างๆ ควรศึกษากฏ ระเบียบ ข้อกำหนด รวมทั้งธรรมเนียมปฏิบัติของแต่ละเครือข่ายที่ต้องการติอต่อ 
            ด้านการใช้ข้อมูลบนเครือข่าย ประกอบด้วย 
  • เลือกใช้ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ มีแหล่งที่มาของผู้เผยแพร่ และที่ติดต่อ 
  • เมื่อนำข้อมูลจากเครือข่ายมาใช้ ควรอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น และไม่ควรแอบอ้างผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง 
  • ไม่ควรนำข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต 
            ด้านการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ใช้ ประกอบด้วย 
  • ใช้ภาษาที่สุภาพในการติดต่อสื่อสาร และใช้คำให้ถูกความหมาย เขียนถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ 
  • ใช้ข้อความที่สั้น กะทัดรัดเข้าใจง่าย 
  • ไม่ควรนำความลับ หรือเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นมาเป็นหัวข้อในการสนทนา รวมทั้งไม่ใส่ร้ายหรือทำให้บุคคลอื่นเสียหาย 
  • หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่ดูถูก เหยียดหยามศาสนา วัฒนธรรมและความเชื่อของผู้อื่น 
  • ในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นควรสอบถามความสมัครใจของผู้ที่ติดต่อด้วย ก่อนที่จะส่งแฟ้มข้อมูล หรือโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่ไปยังผู้ที่เราติดต่อด้วย 
  • ไม่ควรส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ที่ก่อความรำคาญ และความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เช่น จดหมายลูกโซ่ 
            ด้านระยะเวลาในการใช้บริการ ประกอบด้วย 
  • ควรคำนึงถึงระยะเวลาในการติดต่อกับเครือข่าย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้คนอื่นๆ บ้าง 
  • ควรติดต่อกับเครือข่ายเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องการใช้งานจริงเท่านั้น 
2. มารยาทของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในฐานะบุคคลที่ทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ลงบนอินเทอร์เน็ต ประกอบด้วย 
  • ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และข่าวสารต่างๆ ก่อนนำไปเผยแพร่บนเครือข่าย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริง 
  • ควรใช้ภาษาที่สุภาพ และเป็นทางการในการเผยแพร่สิ่งต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต และควรเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 
  • ควรเผยแพร่ข้อมูล และข่าวสารที่เป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ ไม่ควรนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ขัดต่อศีลธรรมและจริยธรรมอันดี รวมทั้งข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น 
  • ควรบีบอัดภาพหรือข้อมูลขนาดใหญ่ก่อนนำไปเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต เพื่อประหยัดเวลาในการดึงข้อมูลของผู้ใช้ 
  • ควรระบุแหล่งที่มา วันเดือนปีที่ทำการเผยแพร่ข้อมูล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ของผู้เผยแพร่ รวมทั้งควรมีคำแนะนำ และคำอธิบายการใช้ข้อมูลที่ชัดเจน 
  • ควรระบุข้อมูล ข่าวสารที่เผยแพร่ให้ชัดเจนว่าเป็นโฆษณา ข่าวลือ ความจริง หรือความคิดเห็น 
  • ไม่ควรเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร รวมทั้งโปรแกรมของผู้อื่นก่อนได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และที่สำคัญคือไม่ควรแก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลของผู้อื่นที่เผยแพร่บนเครือข่าย 
  • ไม่ควรเผยแพร่โปรแกรมที่นำความเสียหาย เช่น ไวรัสคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบเครือข่าย และควรตรวจสอบแฟ้มข้อมูล ข่าวสาร หรือโปรแกรมว่าปลอดไวรัส ก่อนเผยแพร่เข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต  

    พรบ.คอมพิวเตอร์   


               มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐”

                มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
                มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้ “ระบบคอมพิวเตอร์” หมายความว่า
                อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมการทำงานเข้าด้วยกัน โดยได้มีการกำหนดคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใด และแนวทางปฏิบัติงานให้อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ
                 “ข้อมูลคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูล ข้อความ คำสั่ง ชุดคำสั่งหรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์
ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้ และให้หมายความรวมถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรม
ทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย
                “ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแสดงถึง
แหล่งกำเนิดต้นทาง ปลายทาง เส้นทาง เวลา วันที่ ปริมาณ ระยะเวลาชนิดของบริการ หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสาร
ของระบบคอมพิวเตอร์นั้น
                “ผู้ให้บริการ” หมายความว่า
                                (๑) ผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดยประการอื่น
                โดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการในนามของตนเอง หรือในนามหรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
                                (๒) ผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
                “ผู้ใช้บริการ” หมายความว่า ผู้ใช้บริการของผู้ให้บริการไม่ว่าต้องเสียค่าใช้บริการหรือไม่ก็ตาม
                “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
                “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
                มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจ
ออกกฎกระทรวง เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
                มาตรา ๕ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้น
มิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
                มาตรา ๖ ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะถ้านำมาตรการดังกล่าว
ไปเปิดเผยโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
                มาตรา ๗ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้น
มิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
                มาตรา ๘ ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
ที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไป
ใช้ประโยชน์ได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
                มาตรา ๙ ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
โดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
                มาตรา ๑๐ ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
                มาตรา ๑๑ ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา
ของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
                มาตรา ๑๒ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๐
                                (๑) ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นในทันทีหรือในภายหลัง                 และไม่ว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
                                (๒) เป็นการกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์                 หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ                 ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือการบริการสาธารณะหรือเป็นการกระทำต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์
                หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาท
                ถึงสามแสนบาท ถ้าการกระทำความผิดตาม (๒) เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี
                มาตรา ๑๓ ผู้ใดจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด
ตามมาตรา ๕ มาตรา ๖ มาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ หรือมาตรา ๑๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
                มาตรา ๑๔ ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
                                (๑) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
                                (๒) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ                 โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
                                (๓) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
                                (๔) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
                                (๕) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (๑)(๒) (๓) หรือ (๔)
                มาตรา ๑๕ ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๔
                มาตรา ๑๖ ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏ
เป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่ง เป็นการนำเข้าข้อมูล
คอมพิวเตอร์โดยสุจริต ผู้กระทำไม่มีความผิด ความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายในความผิด
ตามวรรคหนึ่งตายเสียก่อนร้องทุกข์ ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือ บุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้ และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย
                มาตรา ๑๗ ผู้ใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้นอกราชอาณาจักรและ
                                (๑) ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้นหรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ
                                (๒) ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนต่างด้าว และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสียหายและผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษจะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร

ภัยจากอินเทอร์เน็ต


                                                   ภัยจากอินเทอร์เน็ต 

อันดับที่ 1

สังคมที่ตกต่ำลง เป็นผลพวงของการเติบโตอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนว่ายากที่จะควบคุม ความอันตรายของโลกออนไลน์ ทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบมากมาย (โดยเฉพาะในทางไม่ดี) มีการโชว์คลิปต่างๆ ที่เป็นการทำลายจริยธรรมของมนุษย์ผ่านทางเว็บไซต์ที่เผยแพร่คลิป ส่งผลเสียต่อสังคมและวัฒนธรรม ทำให้เด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อย ส่อแววมีพฤติกรรมที่ใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายคลิปทำร้ายร่างกายกัน การบังคับขืนใจและใช้การถ่ายคลิปเพื่อข่มขู่ การทำร้ายกัน การฆ่าตัวตาย หรือแม้แต่การถ่ายรูปตัวเองในลักษณะที่ยั่วยวนและนำขึ้นไปโพสท์ตามเว็บต่างๆ ทำให้เกิดปัญหาพฤติกรรมทางเพศของเด็กและเยาวชนที่รวดเร็วขึ้น

อันดับที่ 2
Wi-Fi ปลอม มีลักษณะเดียวกันกับเว็บไซต์ปลอม (Phishing) แม้ว่าหลักการยังคงเหมือนเดิมแต่รูปแบบของการใช้เว็บปลอมก็ได้มีการพัฒนาให้มีความแยบยลมากขึ้น เช่น การที่เหยื่อเข้าไปนั่งในร้านกาแฟร้านหนึ่ง และค้นหาสัญญาณอินเตอร์เน็ตไร้สาย (โดยเฉพาะที่ฟรี) ซึ่งอาชญากรไซเบอร์รู้ถึงพฤติกรรมนี้ดี ว่าเมื่อคนเราเจอสัญญาณฟรีในที่สาธารณะ เรามักจะลองเข้าเพื่อใช้งาน ซึ่งอาชญากรไซเบอร์ก็ได้เตรียมเว็บไซต์ปลอมสำหรับการให้บริการอินเตอร์เน็ตฟรีขึ้น โดยเมื่อเหยื่อได้ทำการเชื่อต่อสัญญาณ จะมีหน้าต่างปรากฏในลักษณะที่แจ้งถึงเงื่อนไขการใช้บริการฟรีอินเตอร์เน็ต เพียงแต่ให้เหยื่อกรอกข้อมูลก็สามารถเข้าใช้งานอินเตอร์เน็ตฟรี อาจจะเป็นเพียงการกรอกข้อมูล อี-เมล และตั้งพลาสเวิร์ดสำหรับการใช้งาน แต่โดยปกติคนเราก็มักจะใช้พลาสเวิร์ดซ้ำๆ กันอยู่แล้ว ทำให้เหล่าอาชญากรไซเบอร์ทำการสุ่มและเดาได้ว่าจะใช้พลาสเวิร์ดที่ได้มาทำอะไรต่อไป และเมื่อเหยื่อกรอกข้อมูลกับเป็นการส่งข้อมูลนั้นไปยังอาชญากรไซเบอร์ แถมยังไม่สามารถเข้าใช้งานได้อีก

อันดับที่ 3

ภัยจากเว็บไซต์ปลอม (Phishing) ลักษณะของเว็บปลอมนั้น อาชญากรไซเบอร์จะทำการส่งอี-เมลไปยังเหยื่อ โดยอาจจะใช้ที่อยู่และอี-เมลของธนาคาร เมื่อเหยื่อทำการคลิกเข้าไปแล้ว หน้าต่างใหม่จะถูกเปิดขึ้น โดยหน้าตาเว็บไซต์ปลอมนั้นจะมีลักษณะเหมือนกับหน้าเว็บไซต์จริงๆ ของธนาคาร และจะมีข้อความแจ้งในทำนองว่า ให้เหยื่อทำการอัพเดทข้อมูลส่วนตัว เพื่อปรับปรุงและสามารถเข้าใช้งานได้ต่อไป เมื่อเหยื่อกรอกข้อมูลแล้ว กดยืนยัน ข้อมูลที่เหยื่อกรอกกับถูกส่งไปที่อาชญากรไซเบอร์ แทนที่จะไปที่เว็บไซต์ของธนาคาร เว็บไซต์ประเภทนี้ยังคงเป็นช่องทางหลักของเหล่าอาชญากรไซเบอร์ที่ใช้ในการหลอกเหยื่อให้หลงกล
ทำให้เหยื่อหลงเชื่อทำการกรอกข้อมูลส่วนตัว รหัสต่างๆ ซึ่งทำให้อาชญากรไซเบอร์เหล่านั้นสามารถนำข้อมูลของเหยื่อไปใช้ประโยชน์ต่อไป

อันดับที่ 4
ภัยจากการโหลดไฟล์ผ่านทางอินเตอร์เน็ต (Bit Torrent) อะไรก็ตามที่มีผู้ใช้จำนวนมาก เป็นที่นิยม จะเป็นช่องที่พวกอาชญากรไซเบอร์ให้ความสนใจ เช่น โปรแกรมที่เหล่านักดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นหนัง หรือโปรแกรมใหญ่ ต่างใช้กันคือ Bit Torrent ที่ถูกออกแบบมาให้มีความสามารถทั้งการดาวน์โหลดและอัพโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ๆ ด้วยความเร็วสูง แถมยังสามารถหาไฟล์ที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย
เหล่าอาชญากรไซเบอร์จึงทำการปล่อยไฟล์ที่ได้รับความนิยมพร้อมกับการแฝงตัวไวรัสและมัลแวร์มายังเครื่องของเหยื่อผ่านการดาวน์โหลด และทำการส่งต่อไปยังเหยื่อรายต่อไปในขณะที่เหยื่อทำการอัพโหลด ผลกระทบที่เกิดขึ้นเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในองค์กรจะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ มีความเร็วลดลง และเป็นการเปิดช่องว่างทำให้เหล่าแฮกเกอร์ใช้ในการเจาะเข้าระบบขององค์กรต่อไป

อันดับที่ 5
อันตรายจากการใช้โปรแกรมแช็ต (Instant Messaging) เช่น MSN เหล่าอาชญากรไซเบอร์หาช่องทางในการเจาะและแพร่ไวรัส หรือมัลแวร์ผ่านทางโปรแกรมแช็ตที่ได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่อง
ลักษณะการทำงานคือ เมื่อท่านใช้งานในโปรแกรมแช็ตกับเพื่อนของท่าน ท่านอาจจะได้รับข้อความให้รับไฟล์ที่ชื่อว่า Image.zip จากเพื่อนของท่าน ถ้าท่านเผลอกดรับไปแล้ว โปรแกรมไวรัสจะถูกทำงานและทำให้รายชื่อของเพื่อนของท่านถูกลบออกไปหมด และยังเป็นการส่งโปรแกรมไวรัสดังกล่าวไปให้เพื่อนของท่านโดยที่ท่านไม่รู้ตัว

อันดับที่ 6
โฆษณาแฝงด้วยไวรัส (Malware) สังเกตได้ว่าเว็บไซต์ทุกวันนี้อยู่ได้ด้วย 2 ประการ คือ
หนึ่ง การที่มีคนเข้าจำนวนมากๆ โดยเฉพาะผู้ที่เข้าเว็บไซต์เป็นประจำ (unique Visitors)
และ สอง คือโฆษณาที่ถือว่าเป็นแหล่งรายได้และทำเงินให้กับเว็บไซต์ต่างๆ อยู่รอดได้ ดังนั้น การที่จะมีโฆษณาบนเว็บหรือมีธุรกิจที่สนใจในการลงโฆษณาบนเว็บไซต์ได้นั้น ต้องอาศัยตัวแปรที่หนึ่งคือ มีคนเข้าเว็บไซต์จำนวนมากพอสมควรที่จะดึงดูดให้ธุรกิจมาโฆษณากับทางเว็บไซต์ในปัจจุบันเว็บไซต์ที่มีโฆษณาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกตาเฉกเช่นกับในอดีต
ดังนั้น อาชญากรไซเบอร์จึงฉวยโอกาสที่ผู้เข้าเว็บไซต์ไม่ทันได้ระวังทำการเผยแพร่โฆษณาที่แฝงด้วยไวรัส เมื่อผู้เป็นเหยื่อทำการคลิกที่โฆษณานั้นแล้ว ตัวไวรัสจะถูกทำงานและฝังตัวอยู่ในเครื่องทำให้เมื่อเหยื่อเข้าเว็บไซต์ใดก็ตาม จะเกิดหน้าต่างเด้งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความรำคาญของผู้ใช้งาน ซึ่งผู้ใช้งานเองอาจมีความเข้าใจว่า มีโปรแกรมป้องกันไวรัสแล้วสามารถยับยั้งได้
แต่ปัญหาใหญ่คือ โปรแกรมแอนตี้ไวรัสรุ่นเก่าไม่สามารถตรวจพบสปายแวร์ได้ ทำให้ต้องใช้โปรแกรมประเภทแอนตี้สปายแวร์เพิ่มเติม

อันดับที่ 7

หลายๆ คนในยุคไซเบอร์นี้นิยมที่จะส่งบัตรอวยพรไปให้เพื่อนๆ ผ่านทางอี-เมล หรือทางบัตรอวยพรอิเล็กทรอนิกส์ (E-Card)
ดังนั้น เหล่าอาชญากรไซเบอร์จึงอาศัยช่องทางนี้ในการหลอกลวงและเข้าถึงข้อมูลของเหยื่อ อาชญากรไซเบอร์จะใช้วิธีการส่งบัตรอวยพรเทศกาลปลอม (Spam E-Card) ที่แฝงด้วยลิงก์ที่เป็นสแปม (Spam) มาให้เหยื่อทางอี-เมล อาจจะถูกส่งมาจากอี-เมลของอาชญากรไซเบอร์เอง หรือจากเพื่อนของเหยื่อที่อี-เมลนั้นได้ถูกแฮ็ก (Hack) เข้าไปในบัญชีรายชื่อเรียบร้อยแล้ว และทำการส่งต่อไปยังเพื่อนๆ
เมื่อเหยื่อได้รับอี-เมล และเปิดอ่าน จะมีลิงก์ให้เหยื่อทำการกด (Click) เพื่อทำการเปิดบัตรอวยพรอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว แต่เบื้องหลังแล้วเป็นการทำการสั่งให้สแปมทำงาน
และนั่นทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อตกอยู่ในอันตรายทำให้อาชญากรไซเบอร์สามารถเข้าไปดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของเหยื่อได้ หรือทำให้สามารถดึงข้อมูลรายชื่ออี-เมลของเพื่อนๆ ได้ต่อไป

อันดับที่ 8
ในยุคนี้ ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนโลกเราทุกวันนี้มีมากมายเหลือเกิน ซึ่งผู้ประสบภัยต่างๆ ทุกทั่วมุมโลก ต่างได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย มีองค์กรทั้งภาครัฐ เอกชน องค์กรอิสระที่ไม่หวังผลกำไร คอยช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประสบภัยธรรมชาติต่างๆ ซึ่งเหล่าอาชญากรไซเบอร์ก็ไม่เว้นที่จะใช้ประโยชน์จากน้ำใจของมวลมนุษย์มาเป็นเหยื่อ มีการเกิดขึ้นของเว็บไซต์มากมายที่เป็นเว็บไซต์การกุศลจอมปลอมที่ทำขึ้นเพื่อให้ประชาชนผู้ใจบุญ ที่มีความประสงค์ต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ได้รับความลำบากทำการบริจาคเงินไปยังองค์กรที่หลอกต้มตุ๋นดังกล่าว

อันดับที่ 9

จะไม่มีความลับบนโลกนี้อีกต่อไป โลกของความปลอดภัยนั้นหาได้ยากบนโลกออนไลน์ ข้อมูลต่างๆ ถูกโอนถ่ายจากเว็บหนึ่งสู่เว็บหนึ่งทั้งที่เจ้าของข้อมูลรู้ตัวและไม่รู้ตัวการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลสามารถทำได้ง่ายขึ้นไม่ว่าจะเป็นการหาชื่อนามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลเหล่านี้ง่ายต่อการถูกเปิดเผยการที่สมัครเพื่อเป็นสมาชิกเว็บไซต์หนึ่งเว็บไซต์ บัญชีอี-เมลหนึ่งอี-เมลมีข้อมูลส่วนตัวที่จำเป็นที่จะต้องให้และใครจะรู้บ้างว่าข้อมูลเหล่านั้นจะถูกเก็บหรือถูกส่งต่อไปยังที่ใดต่อไป
โดยเฉพาะในปัจจุบันโลกของสังคมออนไลน์ (Social Network) ได้ถือว่าเป็นฐานข้อมูลอย่างดีให้กับองค์กรธุรกิจมากมายเพื่อหาผลประโยชน์ในการใช้เป็นฐานข้อมูลลูกค้า

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559


การตั้งวาล์วแบบช้าขณะเครื่องเย็น

เนื่องจากมีความละเอียดแน่นอนของระยะห่างมากกว่า 

รถตัวอย่างเป็น Honda civic FD 1.8

เริ่มจากเปิดฝาครอบวาล์วออก จะเห็นกระเดื่องกดวาล์วของเครื่องยนต์ SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว หรือก็คือเพลาลูกเบี้ยวราวเดี่ยววางอยู่ทางด้านบนเครื่องยนต์ 4 สูบ โดยใน 1 ลูกสูบ มีวาล์ไอดี 2 ตัว
และ วาล์วไอเสีย 2 ตัว หรือ วาล์ว 4 ตัว ต่อ 1 สูบนั่นเอง
วาล์ว 8 ตัว วาล์วที่เห็นเป็นวาล์วไอเสีย โดยไล่จากทางด้านซ้าย คู่แรกเป็นของ
สูบที่ 1 คู่ต่อไปก็สูบที่ 2 คู่ถัดไป ก็สูบที่ 3 คู่สุดท้ายก็สูบที่ 4
มีน๊อตเบอร์ 10 ไว้สำหรับคลายเพื่อปรับระยะห่าง ที่สกรูตัวหนอนที่อยู่ตรงกลาง
โดยชุดปรับตั้งจะอยู่ที่ปลายด้านบนของกระเดืองกดวาล์ว และวาล์วจะอยู่ตรงกลางของสปริง
โดยการทำงานของระบบวาล์ว วาล์วจะเปิดเมื่อเพลาลูกเบี้ยวมากดวาล์วและสปริงให้ยุบลงและ
วาล์วจะปิดเองด้วยแรงของสปริงเมื่อเพลาลูกเบี้ยวหมุนเลยไป ถ้าระยะห่างระหว่างกระเดื่องกดวาล์วและวาล์วไม่มีจะทำให้หน้าวาล์วกับบ่าวาล์วปิดไม่สนิท หรือก็คือที่เราเรียกกันว่าวาล์วยันนั่นเอง
ด้านซ้ายเป็นชุดวาล์วทางด้านไอดี และ ทางด้านขวาเป็นชุดวาล์วทางด้านไอเสีย
เราจะเริ่มตั้งวาล์วสูบที่ 1 ก่อน โดย เราต้องหมุนเครื่องยนต์ให้สูบที่ 1 อยู่ในจังหวะอัดสุดและในขณะเดียวกัน
สูบที่ 4 อยู่ในจังหวะโอเวอร์แล็ป
จากนั้นใช้ฟิลเลอร์เกจวัดระยะห่างวาล์ว โดยสอดเข้าไปในช่องระหว่างกระเดื่องกดวาล์ว
และ วาล์ว จากรูปวาล์วไอเสียสูบที่ 1 ชิดนิดหน่อยทำให้สอดฟิลเลอร์เกจไม่ได้
แต่ยังมีระยะห่างอยู่บ้างไม่ถึงกับยัน จึงทำให้ต้องมีการปรับตั้งใหม่
ปรับตั้งเสร็จก็เช็คระยะห่างอีกครั้ง
แล้วก็ตรวจเช็คระยะของวาล์วไอเสียสูบที่ 1 ตัวที่ 2
เมื่อตั้งเสร็จ ก็หมุนเครื่องอีกครั้งให้สูบ 4 อัดสุด สูบ 1 โอเวอร์แล็ปเพื่อตั้งวาล์วสูบที่ 4
เมื่อตั้งเสร็จ ก็หมุนเครื่องอีกครั้งให้สูบ 2 อัดสุด สูบ 3 โอเวอร์แล็ปเพื่อตั้งวาล์วสูบที่ 2